บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หูดชนิดเเบนคืออะไร


หูดชนิดเเบนคืออะไร
หูด (Wart)

หูด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัส “ปาโปวา” (papova virus) ลักษณะหูดนี้จะเป็นเม็ดตุ่มนูนแข็ง มีรากอยู่ข้างใต้หูด มีขนาดแตกต่างกันไป แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
หูดธรรมดา (common wart)
ลักษณะของหูดชนิดนี้ จะเป็นตุ่มเม็ดนูนแข็ง ผิวค่อนข้างขรุขระ อาจมีเม็ดเดียว หรือ หลายเม็ดก็ได้
ตำแหน่งที่พบ ที่พบบ่อย คือ บริเวณแขน ขา มือ และเท้า
หูดชนิดแบน (plane wart) ลักษณะของหูดชนิดนี้จะเป็นเม็ดเล็กแข็ง แต่ผิวเรียบ ซึ่งต่างจากหูดธรรมดา เพราะว่า หูดธรรมดา จะมีผิวขรุขระกว่า
ตำแหน่งที่พบ ตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ หลังมือ หน้าแข็ง หน้าผาก
หูดฝ่าเท้า (plantar wart)
ลักษณะเป็นไต แผ่นหนาแข็ง เป็นปื้นใหญ่ ขนาดใหญ่กว่าหูดธรรมดา
ตำแหน่งที่พบ พบที่บริเวณฝ่าเท้า ข้างใต้ฝ่าเท้า
ใครกันบ้างที่เป็นหูด ?
หูดพบได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ นอกจากนี้หูดมักจะพบในผู้ที่มี ความต้านทานต่ำหรือไม่ค่อยสบาย มีการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย
หูดมีอาการอย่างไร ?
หูดทำให้มีอาการเจ็บได้แต่ไม่คัน ส่วนใหญ่ที่เจ็บมากคือ หูดที่ฝ่าเท้า เพราะเมื่อคุณเดินไปเดินมา จะไปกดทับหูดโดยตรง ทำให้เจ็บได้
หูดติดต่อกันอย่างไร
วิธีการติดต่อของหูดทั้ง 3 ชนิด คือ ติดต่อทางการสัมผัสเชื้อโดยตรง (direct contact) เช่น ถ้าคุณผู้อ่านมีรอยถลอก หรือมีแผล ตามมือ เท้า แขน แล้วอยู่ดี ๆ ก็ไปสัมผัสกับคนที่เป็นหูดนี้ โดยที่ตัวคุณไปสัมผัสเข้ากับเจ้าตุ่มเม็ดหูดนี้โดยตรงเลย เชื้อไวรัสหูดนี้ ก็จะสามารถแพร่กระจาย มาที่ตัวคุณผู้อ่านได้ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่แล้ว คนที่เป็นหูด ระยะแรกจะมีเม็ดเดียว ต่อมาเกิดรำคาญหงุดหงิดใจ ก็เลยลองแกะดูเล่น ๆ หรือพยายามใช้กรรไกรตัดเล็บตัดออก แกะไปแกะมา จะทำให้เกิดการแพร่กระจาย ของเชื้อไวรัสหูดนี้ได้ ดังนั้นช่วงแรก อาจเป็นหูด 1 เม็ด ต่อมาไม่นาน กลายเป็นหูดถึง 10-20 เม็ดเชียวนะคะ อย่าทำเป็นเล่นไป
วิธีการรักษาหูด
ทายา ถ้าเป็นหูดเม็ดเล็ก ๆ หรือเป็นไม่มากนัก หรือหูดในเด็ก ๆ ใช้ยาทา เช่น ยาก ลุ่มกรดซาลิซิลิก ความเข้มข้น 20-40 เปอร์เซ็นต์ (20-40% SA ointment) ยาน้ำคอลโลแมค ดูโอฟิล์ม เป็นต้น การทายานี้ ได้ผลพอใช้ อาจต้องใช้ระยะเวลานาน ขึ้นอยู่กับขนาดของหูด
จี้ด้วยไฟฟ้า ใช้ไฟฟ้าจี้ที่ตัวหูด จะได้ผลดี ถ้าจี้ออกหมด
จี้ด้วยเลเซอร์ ใช้แสงเลเซอร์จี้ที่ตัวหูด ได้ผลดีเช่นกัน แต่ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการจี้ด้วย ไฟฟ้า
ผ่าตัดออก คือการผ่าตัดเอาตัวก้อนหูดนี้ออกไปเลย แต่ไม่ค่อยนิยมทำกัน
ปัญหาของการรักษา
คือ หูด มักจะกลับมาเป็นซ้ำได้ใหม่อีก ที่บริเวณใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิม
หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum)
หูดข้าวสุก เป็นโรคอีกชนิดหนึ่งแตกต่างจากหูดทั่วไป หูดข้าวสุก เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อว่า “พอกซ์” (pox virus) ลักษณะเป็นตุ่มแข็งสีขาวขนาดเล็ก ตรงกลางมีรอยบุ๋มเล็กน้อย ถ้าลองสะกิดตุ่มสีขาวนี้ออก แล้วเอามือบีบดู จะพบเนื้อหูดสีขาว คล้ายเม็ดข้าวสุก
ตำแหน่งที่พบ
ในวัยเด็ก จะพบตุ่มนี้ ที่ใบหน้า ลำตัว แขน ขา ติดต่อได้ง่ายมากทางการสัมผัสโดยตรง (direct contact) ในผู้ใหญ่ มักจะพบตุ่มนี้บริเวณอวัยวะเพศ จึงมักจะติดต่อกันได้ทาง เพศสัมพันธ์
อาการ
ของหูดข้าวสุกมักจะไม่ค่อยมีอาการคันหรือเจ็บ
วิธีการรักษา
ใช้เข็มสะกิดตุ่มนี้ แล้วบีบออก
ใช้กรดไตรคลออะเซติก ความเข้มข้น 30-50 % หรือฟีนอล ความเข้มข้น 1% แต้ม ทาตุ่มนี้

การออกกำลังกายเวลาไหนลดน้ำหนักได้ผลดีที่สุด


การออกกำลังกายเวลาไหนลดน้ำหนักได้ผลดีที่สุด


 การออกกำลังกายที่ได้ผลดีสำหรับการลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนคือ หลังคุณตื่นนอนตอนเช้าค่ะ เพราะอะไรมาดูกัน
1. การออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ระบบเผาผลาญของเราทำงานได้ดีกว่า

เมื่อเราตื่นนอนตอนเช้า ระบบการเผาผลาญของเรายังทำงานได้ช้า เนื่องจากว่าเมื่อเรานอนหลับ ระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงมากๆ และมันไม่ได้เริ่มต้นทำงานทันทีที่เราตื่น แต่ต้องหลังจากนี้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง แล้วทำไมเราไม่กดปุ่มให้ระบบเผาผลาญเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าเลยละ คุณสามารถกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญทำงานหลังจากที่ตื่นได้ด้วยการออกกำลังกายตอนเช้าประมาณ 10 นาที เน้นการเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อร่างกายมีการใช้พลังงาน มีการเกร็งค้างกล้ามเนื้อ ร่างกายจะกระตุ้นการเผาผลาญให้เริ่มทำงานทันที คุณจะรู้สึกได้ว่า ร่างกายคุณเริ่มอุ่นๆ ขึ้น นั้นก็คือสัญญาณว่าระบบการเผาผลาญของคุณเริ่มทำงานมากขึ้นแล้วค่ะ

2. การออกกำลังกายในตอนเช้าหลังตื่นนอน เป็นการเอาชนะข้ออ้างเรื่องเวลา
เมื่อคุณออกกำลังกายในตอนเช้าแล้ว ในระหว่างวันจนถึงเย็น คุณอาจจะต้องทำงานยุ่งจนลืมว่าคุณอยากออกกำลังกาย เมื่อเลิกงานตอนเย็น ก็อาจจะต้องเดินทางไปกับเพื่อนๆ หรือเจ้านายอีก ดังนั้นโอกาสที่คุณจะหวังว่าเย็นนี้จะว่างแล้วไปออกกำลังกายแน่ๆ เป็นไปได้ยากมากค่ะ นอกจากว่าคุณจะว่างจริงๆ
3. การออกกำลังกายในตอนเช้าจะทำให้ระบบเผาผลาญทั้งวันดีขึ้น
ระบบเผาผลาญของร่างกายก็คล้ายๆ กับเตาไฟที่เผาไหม้ค่ะ มันต้องมีการอุ่นเครื่องก่อน การที่เราออกกำลังกายตั้งแต่เช้า เราก็เหมือนกดปุ่มให้ร่างกายเริ่มเผาผลาญตั้งแต่เช้า หากคุณลองออกกำลังกายตอนเช้าหลังตื่นนอนติดต่อกันสักระยะ ประมาณ 5-7 วันติดต่อกัน คุณจะสังเกตเห็นว่า หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าแล้ว คุณจะสดชื่น และไม่ง่วงนอน เหมือนแต่ก่อน และตลอดวัน คุณจะรู้สึกว่าร่างกายสดชื่นมากกว่าง่วงนอน (ยกเว้นว่าคุณนอนไม่พอนะค่ะ) และอารมณ์ต่างๆ ก็จะดีขึ้นด้วย
4. การออกกำลังกายในตอนเช้าทำให้คุณไปทำงานทัน!
เพราะว่าคุณควรจะต้องตื่นก่อนปกติประมาณ 10 นาทีเพื่อมาออกกำลังกายในตอนเช้า ดังนั้นคุณจึงตื่นเช้าไปโดยอัตโนมัติ เมื่อออกกำลังกายเสร็จ คุณจะสดชื่น คงจะนอนต่อไม่ไหวอีก (ยกเว้นว่าจะขี้เกียจ) ทำให้คุณมีเวลาทำภาระกิจในตอนเช้า และเดินทางไปทำงานได้ในตอนเช้า
5. การออกกำลังกายในตอนเช้าช่วยลดความเครียดตลอดวันได้
เวลาที่เราออกกำลังกาย ต่อมพิทูอิทารีจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งทำให้คุณรู้สึกดี ยิ่งเรามีสารเอนดอร์ฟินมากในกระแสเลือด เราจะรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น และหากคุณรู้สึกดีตั้งแต่เช้า ตลอดทั้งวันนั้นโอกาสที่คุณจะสะสมความเครียดก็จะน้อยลงไปมาก คุณจะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น
6. การออกกำลังกายในตอนเช้าทำให้ร่างกายแข็งแรงกว่า
มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา เมืองบลูมิงตัน ระบุว่า หากเราออกกำลังกายตอนเช้า จะช่วยทำให้ความดันโลหิตลดลง เพราะความดันหัวใจขณะบีบตัว จะปรับลง 8 จุดใน 11 ชั่วโมง หลังจากออกกำลังกายในตอนเช้า และความดันหัวใจขณะคลายตัวจะลดลง 6 จุด นาน 4 ชั่วโมงหลังจากออกกำลังกายตอนเช้า ในขณะที่ถ้าไปออกกำลังกายตอนเย็นจะไม่ได้ผลลัพท์ดังกล่าวเลย นอกจากนั้นยังมีผลการวิจัยจากวิทยาลัยการแพทย์กีฬาแห่งชาติ (American College of Sports Medicine) ในอินเดียนาโพลิส ยืนยันว่า การที่เราออกกำลังกายตอนเช้า จะเป็นการกระตุ้นให้ต่อมต่างๆ ที่สร้างฮอร์โมนในร่างกายทำงานสูงที่สุด ระดับเทสโทสเทอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อก็จะสูงสุดในตอนเช้าเช่นกัน ดังนั้นคุณจึงเห็นผลลัพท์ได้เร็วกว่า
ที่มา:http://www.ladytip.com/main/content/view/2955/

โรคกรดไหลย้อนคืออะไรเเละวิธีการรักษา


โรคกรดไหลย้อนคืออะไรเเละวิธีการรักษา

โรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อน หมายถึงภาวะที่กรดในกระเพาะไหลย้อนมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก
โครงสร้างของกระเพาะอาหาร
เมื่อเรารับประทานอาหารทางปาก อาหารจะถูกเคี้ยว และกลืนเข้าหลอดอาหาร อาหาร จะถูกบีบไล่ไปยังกระเพาะอาหาร ระหว่างรอยต่อของกระเพาะอาหาร และหลอดอาหารจะมีหูรูด หรือที่เรียกว่า Sphincter ทำให้ที่ปิดมิให้อาหารหรือกรดไหลย้อนกลับไปยังหลอดอาหาร เมื่ออาหารอยู่ในกระเพาะจะมีกรดออกมาจำนวนมาก เมื่ออาหารได้รับการย่อยแล้วจะถูกการบีบไปยังลำไส้เล็ก ดังนั้นหากมีกรดไหลย้อนไปยังหลอดอาหารก็จะมีอาการเจ็บหน้าอก
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร
คือภาวะที่กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปยังหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือแสบหน้าอก บางครั้งอาจจะรู้สึกรสเปรี้ยว
สาเหตุของกรดไหลย้อน
Hiatus hernia (คือโรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารส่วนต้นเข้าไปในกำบังลม)ดื่มสุราอ้วนตั้งครรภ์สูบบุหรี่อาหารรสเปรี้ยว เผ็ดช้อกโกแลตอาหารมัน ของทอดหอมกระเทียมมะเขือเทศอาการของกรดไหลย้อน
อาการทางหลอดอาหาร
อาการปวดเสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้มปี่ที่เรียกว่าร้อนใน (heart burn) บางครั้งอาจจะร้าวไปที่คอได้รู้สึกมีก้อนอยู่ในคอกลืนลำบาก หรือกลืนแล้วเจ็บเจ็บคอหรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้ารู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือมีรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปากมีเสมหะอยู่ในคอ หรือระคอตลอดเวลาเรอบ่อย คลื่นไส้รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อยอาการทางกล่องเสียง และปอด
เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติจากเดิมไอเรื้อรังไอ หรือ รู้สึกสำลักในเวลากลางคืนกระแอมไอบ่อยอาการหอบหืดแย่ลงเจ็บหน้าอกเป็นโรคปอดอักเสบเป็นๆหายๆ

กินอะไรบำรุงสายตาเเละทำให้ตาใส


กินอะไรบำรุงสายตาเเละทำให้ตาใส
6 อาหารบำรุงสายตา

1. ผักใบเขียว (leafy greens) การศึกษามากกว่า 115 รายงานพบว่า ผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง บรอคโคลี ฯลฯ มีลูทีน (lutein) ซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารสีส้มเหลืองที่ทำหน้าที่กรองรังสี UV ในแสงแดดและแสงสีม่วง-น้ำเงินที่ทำให้เกิดโรคจอตาส่วนกลางเสื่อมสภาพ (AMD) แนะนำให้กินผักใบเขียวอย่างน้อยวันละ 100 กรัมอย่างน้อยวันเว้นวัน (every other day) ในรูปสลัดหรือผักสุก การกินพืชผักพร้อมอาหารที่มีไขมันมีส่วนช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหาร
2. ไข่ (eggs) ไข่แดง (egg yolk) มีลูทีนและซีแซนทีนที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี แนะนำให้กินไข่ (พร้อมไข่แดง) 2 ฟองวันเว้นวัน (ถ้าไม่มีข้อห้าม)

3. เบอรีสีเข้มๆ (dark berries) นักบินสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กินผลไม้สีน้ำเงิน-ม่วงเข้ม (เบอรี) เช่น บิลเบอรี บลูเบอรี ฯลฯ ซึ่งมีสารแอนโตไซยานินส์ (anthocyanins) เพื่อให้การมองเห็นตอนกลางคืนดีขึ้น อาหารอื่นๆ ที่มีสารนี้ได้แก่ หอมแดง ส้มสีแดง (blood orange) องุ่นแดง ลูกเกด แอปเปิ้ลแดง ข้าวเหนียวดำ ข้าวแดง มะเขือม่วง ฯลฯ หรือพืชผักที่มีสีน้ำเงิน-ม่วง-ดำ สารกลุ่มนี้ช่วยป้องกันและช่วยชะลอความเสื่อมจากโรคต้อกระจกและจอตาส่วนกลางเสื่อมสภาพ (AMD) กลไกที่เป็นไปได้คือ สารกลุ่มนี้ทำให้หลอดเลือดฝอยแข็งแรงนำเลือดและสารอาหารไปเลี้ยงจอตาและเลนส์ตาได้ดีขึ้น
4. ปลาทะเล น้ำมันชนิดโอเมกา 3 ในปลาช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอตาส่วนกลางเสื่อมสภาพ นอกจากนั้นยังลดอาการตาแห้ง (ทำให้แสบตา ระคายเคืองตาง่าย) ได้ 68% แนะนำให้กินปลาทะเลที่ไม่ผ่านการทอด 2-3 ส่วนบริโภคต่อสัปดาห์ (1 serving = เนื้อ 90 กรัม = เนื้อปลากระป๋องขนาดเล็ก 1 กระป๋อง = ครึ่งถ้วยตวงข้าวหม้อหุงข้าวไฟฟ้า)

5. ถั่วเปลือกแข็ง (nuts / นัท) และเมล็ดพืช (seeds) แนะนำให้กินถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ ฯลฯ และเมล็ดพืช เช่น ทานตะวัน ฯลฯ มีวิตามิน E ซึ่งช่วยป้องกันต้อกระจกและจอตาส่วนกลางเสื่อมสภาพ (AMD) วันละ 1 ฝ่ามือ (ไม่รวมนิ้วมือ)
6. ผลไม้และผักสดๆ (fresh fruits & vegetables) ผลไม้สดมีวิตามิน C และสารพฤกษเคมี (สารคุณค่าพืชผัก) ที่ช่วยลดเสี่ยงโรคต้อกระจก ต้อหิน จอภาพส่วนกลางเสื่อม (AMD) แนะนำให้ทำน้ำผลไม้ปั่นไม่กรองกากดื่มตอนเช้า สายๆ จนถึงบ่ายให้กินผักหลายๆ สี เช่น พริกแดง ฯลฯ จะกินสดหรือปรุงด้วยความร้อนช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ไมโครเวฟ ฯลฯ ก็ใช้ได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก vcharkarn.com

อาการบวมน้ำเกิดจากอะไรกัน


อาการบวมน้ำเกิดจากอะไรกัน
 อาการบวมน้ำ เกิดขึ้นเมื่อของเหลวที่ควรเดินทางผ่านหลอดเลือดและน้ำเหลืองกลับซึมออกมาสู่เซลล์และช่องว่างระหว่างเซลล์ สาเหตุที่พบบ่อยคือ บริโภคเกลือมากเกินไป การสวมถุงเท้าที่ยาวถึงเข่าและรัดแน่นด้านบน การยืนนานๆ และการนั่งห้อยขา ก็ทำให้ข้อเท้าบวมได้ ส่วนอาการบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน เกิดจากระดับฮอร์โมนแปรปรวนซึ่งมีผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลือง สาเหตุอื่นคือ เกิดจากโรคตับ โรคไต หรือภาวะหัวใจล้มเหลว

การรักษา การรักษาอาการบวมน้ำนั้นต้องดูที่สาเหตุ บางครั้งแพทย์ก็ใช้ยาขับปัสสาวะรักษาอาการบวมน้ำเพื่อให้ร่างกายขับน้ำส่วนเกินออกมา แต่บางครั้งยานี้ก็ทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะแร่ธาตุที่ควบคุมให้หัวใจเต้นเป็นปกติ แม้ว่าบางกรณียังจำเป็นต้องใช้ยาขับปัสสาวะอยู่ แต่มีอีกหลากหลายวิธีที่คุณทำเองได้ เช่น ปรับปรุงอาหารการกิน ดื่มชาสมุนไพร และเดินออกกำลังกายสัปดาห์ละหลายๆ ครั้ง ก็แก้ปัญหาได้แล้ว
อาการบวมน้ำเป็นอาการข้างเคียงชนิดหนึ่งจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เป็นส่วนประกอบในยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งพบได้เป็นเรื่องปกติ ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน ในยาเม็ดคุมกำเนิดจะมีปริมาณแตกต่างกัน ปัจจุบันมีปริมาณ 20, 30, 35 ไมโครกรัม เพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดศรีษะ, ตึงคัดเต้านม, เป็นฝ้า, น้ำหนักเพิ่ม
แต่ก็ยังจะพบอาการข้างเคียงได้บ้างใน 2-3 เดือนแรกของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด แล้วอาการดังกล่าวจะหายไปได้เอง ทั้งนี้หากมีอาการมากหรือไม่หายภายใน 2-3 เดือน ควรรีบไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรต่อไป  แนะนำให้คุณปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร พร้อมกับแจ้งชื่อยี่ห้อยาเม็ดคุมกำเนิดที่คุณทานอยู่ด้วยนะคะ และทานมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว เพื่อแพทย์หรือเภสัชกรจะได้เลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่เหมาะสมให้คุณได้ที
ที่มา เภสัชกร  มัยมุน หะลี

ความดันโลหิตเกิดจากอะไร


ความดันโลหิตเกิดจากอะไร
ทุกๆคนต้องมีความดันโลหิต เพราะความดันโลหิต จะเป็นแรงผลักดัน
ให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนั้นทุกคนควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับความดันโลหิต
และรักษาให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดหลอดแข็งและตีบ
เมื่อหัวใจบีบตัวหัวใจจะบีบเลือดไปยังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดความดันโลหิตซึ่งเกิดจากการ
บีบตัวของหัวใจ และแรงต้านทานของหลอดเลือด หัวใจคนเราเต้น 60-80ครั้ง ความดันก็จะเพิ่ม
ขณะที่หัวใจบีบตัว และลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลา
ขึ้นกับท่า ความเครียด การออกกำลังกาย การนอนหลับ แต่ไม่ควรเกิน 140/90 หากสูงกว่านี้แสดง
ว่าคุณเป็นโรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคอัมพาต โรคหัวใจเป็นโรคที่มีอัตราตายสูง ดังนั้นการป้องกันความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันอัตราการตายจากโรคหัวใจ และโรคอัมพาต โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของทุกท่านเนื่องจากไม่มีอาการเตือนดังนั้น การจะทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องวัดความดันโลหิต
ความดันโลหิตแค่ไหนจึงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
เมื่อตรวจร่างกายแล้วว่าความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาทันทีหรือไม่
เมื่อท่านตรวจพบความดันโลหิตสูงถ้าไม่สูงมากอาจจะไม่จำเป็นต้องรับประทานยา แต่หากสูงมากก็จำเป็นต้องรับประทานยา ตารางข้างล่างจะเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย


สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่านใหญ่ไม่ทราบสาเหตุเรียก primary หรือ essential hypertension  เราสามารถควบคุมความดันโลหิตได้แต่รักษาไม่หายดังนั้นจึงจำเป็นต้องป้องกัน ส่วนที่ทราบสาเหตุเรียก secondary hypertension เช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต ยาคุมกำเนิด หากทราบสาเหตุสามารถรักษาให้หายขาดได้
Primary hypertension
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า essential hypertension เป็นความดันโลหิตสูงที่พบมากที่สุดกลุ่มนี้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักจะพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารเค็ม อ้วน กรรมพันธุ์ อายุมาก เชื้อชาติ และการขาดการออกกำลังกาย
Secondary hypertension
เป็นความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสาเหตุที่พบได้บ่อยคือ
  • โรคไต ผู้ป่วยที่มีหลอดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบทั้งสองข้างมักจะมีความดันโลหิตสูง
  • เนื้องอกที่ต่อมหมวกไตพบได้สองชนิดคือชนิดที่สร้างฮอร์โมน  hormone aldosterone ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความดันโลหิตสูงร่วมกับเกลือแร่โปแตสเซียมในเลือดต่ำ อีกชนิดหนึ่งได้แก่เนื้องอกที่สร้างฮอร์โมน catecholamines เรียกว่าโรค Pheochromocytoma ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูงร่วมกับใจสั่น
  • โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ Coarctation of the aorta พบได้น้อยเกิดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบบางส่วนทำให้เกิดความดันโลหิตสูง


ความดันโลหิตต่ำ
ปกติความดันโลหิตยิ่งต่ำยิ่งดีเพราะเกิดโรคน้อย แต่หากความดันโลหิตที่ต่ำทำให้เกิดอาการ เวียนศีรษะ เป็นลมเวลาลุกขึ้นแสดงว่าความดันต่ำไป สาเหตุที่พบได้มีดังนี้
  • ผู้ป่วยที่มีโรคระบบประสาทหรือต่อมไร้ท่อ
  • ผู้ที่นอนป่วยนานไป
  • ผู้ที่เสียน้ำหรือเลือด
ความดันโลหิตสูงในเด็ก
เราไม่ค่อยพบความดันโลหิตสูงในเด็ก แต่เด็กก็สามารถเป็นความดันโลหิตสูงการค้นพบความดันโลหิตสูงตั้งแต่แรกจะสามารถป้องกันโรคหัวใจ โรคไต ดังนั้นเด็กควรที่จะได้รับการวัดความดันโลหิตเหมือนผู้ใหญ่ สาเหตุก็มีทั้ง primary และ secondary พบว่าเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก เด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิต หรือบางเชื้อชาติ กลุ่มเหล่านี้จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง แพทย์แนะนำอาหาร และการออกกำลังกาย หากความดันโลหิตไม่ลงจึงให้ยารับประทาน
คนที่เป็นความดันโลหิตสูงสามารถอบ Sauna ได้หรือไม
คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงสามารถอาบน้ำอุ่นหรืออบ Sauna ได้โดยที่ไม่เกิดผลเสีย ผู้ป่วยที่มีอาการแน่นหน้าอก หรือหายใจหอบควรจะหลีกเลี่ยงการอบ Sauna หรือแช่น้ำร้อน และไม่ควรที่จะดื่มสุรา นอกจากนั้นไม่ควรอาบน้ำร้อนสลับกับน้ำเย็นเพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
ทำไมต้องรักษาความดันโลหิตสูง
เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ แต่โรคความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดโรคแก่ร่างกาย เช่นทำให้หัวใจต้องทำงานหนักอาจจะทำให้เกิดโรคหัวใจวาย โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาต และยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ผู้ที่ไม่ได้รักษาความดันโลหิตสูงจะมีผลดังนี้
  • มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 3 เท่า
  • มีโอกาสเกิดโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 6 เท่า
  • มีโอกาสเกิดโรคอัมพาตเพิ่มขึ้น 7 เท่า
ที่มา siamhealth.net