บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธีการเผาผลาญไขมันให้ได้ผลดีที่สุด


วิธีการเผาผลาญไขมันให้ได้ผลดีที่สุด

ความจริงจะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก ลองมาดูกัน

เพราะความอ้วนและไขมันส่วนเกินเป็นศัตรูร้ายของผู้หญิงรักสวย ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่จะช่วยให้คุณดูแลรูปร่างให้สวยเพรียวและมีสุขภาพดีอย่างถูกต้องโดยไม่ติดอยู่กับความเชื่อผิด ๆ อีกต่อไป

1. ผู้หญิงจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนมีรอบเดือน? <<จริง>> โดยปรกติแล้ว ผู้หญิงมักจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 กก. ก่อนรอบเดือนจะมาประมาณ 2-3 วัน สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการกักน้ำไว้ในร่างกาย เพื่อลดอาการบวมน้ำในช่วงรอบเดือน จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารรสเค็ม ของขบเคี้ยวที่โรยเกลือทุกชนิด และอย่าบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ๆ เช่น พาสต้า ขนมปัง หรือน้ำตาลทราย เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตส่วนเกินในร่างกายจะนำไปสู่อาการบวมน้ำ เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการสวมกางเกงยีนส์ของเราก็คือสามวันหลังจากหมดรอบเดือน ที่ช่วงนั้นเราจะผอมเพรียวเป็นพิเศษก็เพราะอาการบวมน้ำในร่างกายลดลงต่ำที่สุด

2. แค่เราจัดระเบียบอาหารในจานก็ช่วยให้ลดน้ำหนักได้? <<จริง>> เพียงเราจัดปริมาณอาหารที่จะบริโภคให้ถูกต้อง เช่น แทนที่แป้งด้วยผักสดและสลัด ก็จะสามารถลดน้ำหนักได้กว่า 5 กก. ต่อปี สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ควรทำ หากปรกติจานอาหารของคุณเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ไส้กรอก และมันทอด ขอแนะนำว่าเวลาจัดระเบียบอาหาร ให้ครึ่งหนึ่งของจานเป็นผัก และหนึ่งในสี่เป็นแป้ง เช่น มันทอด ข้าว พาสต้า หรืออาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์สูง และอีกหนึ่งในสี่เป็นอาหารโปรตีนปลอดไขมัน ถั่ว หรือเต้าหู้ แต่หากบริโภคเนื้อสัตว์ปลอดไขมันเกิน 90 กรัมต่อมื้อ ก็จะทำให้อ้วนได้เช่นกัน

3. การดมอาหารเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งของการลดน้ำหนัก? <<จริง >> คนที่ลดน้ำหนักหลายคนได้ค้นพบว่า การดมกลิ่นอาหารเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราผอมลงได้ เพราะเมื่อเราได้กลิ่นอาหารที่หอมหวน ร่างกายของเราก็จะส่งข้อมูลผ่านทางจมูกไปยังต่อมไฮโปทาลามัสในสมองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเจริญอาหาร จากการวิจัยของ ดร. อลัน เฮิร์ช นักประสาทวิทยาชาวอเมริกันพบว่า การดมอาหารนาน ๆ ก่อนจะบริโภคเข้าไปนั้น เป็นการหลอกล่อให้สมองของเราคิดว่า อาหารนั้น ๆ ได้ถูกเราบริโภคเข้าไปแล้ว ด้วยวิธีนี้ จึงแนะนำให้อุ่นอาหารจนร้อน และสูดดมให้ทั่วจานก่อนจะบริโภค

4. จริงหรือที่เราสามารถจะกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึ่มให้ทำงานดีขึ้น? <<จริง>> เราสามารถเพิ่มระดับเมตาบอลิซึ่มของเราได้โดยการบริโภคอาหารมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อต่อวันแทนการบริโภคมื้อใหญ่ ๆ เพียงม้อเดียว เหตุผลก็คือ ร่างกายของเราจะสามารถเผาผลาญอาหารปริมาณน้อย ๆ ได้ดีกว่าเมื่อเราบรรจุอาหารลงไปทีละมาก ๆ การบริโภคมื้อใหญ่ ๆ แต่น้อยมื้อจะทำให้มีไขมันส่วนเกินเก็บกักไว้ในร่างกายได้มากกว่าโดยเฉพาะที่ต้นขาและสะโพกของผู้หญิง

5. ถ้าเราออกกำลังกายเพราะอยากลดน้ำหนัก และเมื่อสามารถลดน้ำหนักลงได้ตามต้องการแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกกำลังอีกต่อไป จริงไหม? <<ไม่จริง>> การออกกำลังกายจะมีผลดีกับร่างกายในระยะยาวโดยเฉพาะกับระบบเมตาบอลิซึ่มที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหารของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น หากเราออกกำลังสม่ำเสมอ ผลกำไรของการออกกำลังก็จะมากขึ้นในระยะยาว เช่น สามารถช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่า มีความคล่องตัวในการใช้ชีวิตประจำวันได้มากกว่าและยังช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้แม้ในขณะที่เรานอนหลับอยู่ด้วย

6. จริงไหมที่การดื่มน้ำเย็นจัด ๆ ระหว่างมื้ออาหารจะช่วยให้เราลดน้ำหนักลงได้? <<ไม่จริง>> เพราะจากการศึกษาพบว่าร่างกายของเราใช้พลังงานเพียงน้อยนิดมากสำหรับการเปลี่ยนอุณหภูมิของน้ำเย็นจัดให้เท่ากับอุณหภูมิของร่างกายจนแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างนั้น ๆ เลยด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีการอื่นที่จะทำให้น้ำช่วยเราลดน้ำหนักลงได้ การดื่มน้ำในช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงหลังมื้ออาหารจะช่วยระบายเกลือส่วนเกินออกจากร่างกาย ทำให้ลดอาการตัวบวม นอกจากนี้เมื่อรู้สึกกระหาย การดื่มน้ำสะอาดแทนน้ำอัดลม น้ำผลไม้หรือแอลกอฮอล์ ก็เป็นวิธีที่ดีในการช่วยเผาผลาญแคลอรี่ออกจากร่างกายของเราด้วย และจะดีที่สุด หากเราดื่มน้ำได้ไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวัน
7. จริงหรือที่ว่า ผู้หญิงมีแฟนแล้วมักจะอ้วน มันเป็นไปได้ยังไงกัน? <<จริงแน่นอนที่สุด>> ก็ลองนึกถึงพฤติกรรมที่คุณสองคนนั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟา ดูทีวีไปพลางหยิบของขบเคี้ยวใส่ปากดูสิ แบบนี้ไม่อ้วนได้ยังไง หรือไม่ก็สั่งพิซว่าถาดใหญ่มาบริโภคกันอย่างเอร็ดอร่อยนี่แหละที่ทำให้แผนการควบคุมน้ำหนักของผู้หญิงต้องเสียไป ฉะนั้นลองหันมาบริโภคอาหารทำเองที่บ้านให้บ่อยที่สุดเพราะคุณจะสามารถวางแผนมื้ออาหารได้ดีกว่าการบริโภคนอกบ้าน

8. ผู้หญิงควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ในช่วงวัยหลังหมดประจำเดือน โดยมากช่วงก่อนจะหมดรอบเดือน ผู้หญิงมักมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 กก. และเมื่ออายุ 35-40 ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะทำให้มีไขมันสะสมตามร่างกายมากขึ้นโดยเฉพาะที่ขาอ่อน สะโพก ก้น ทรวงอกและบริเวณหน้าท้อง เนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายที่น้อยลง หากยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกาย ก็มีแนวโน้มว่าจะต้องอ้วนขึ้นอย่างแน่นอน หากต้องการจำกัดน้ำหนัก ก็ควรยืดหยุ่นร่างกายและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ในช่วงวัย 45 ปีขึ้นไป จะเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการอาหารน้อยลง จึงควรลดปริมาณอาหารแป้งและไขมันที่บริโภคประจำและสนใจผัก ผลไม้สดให้มากขึ้น

9. จะทำอย่างไรถึงจะชั่งน้ำหนักตัวได้แม่นยำที่สุด ควรชั่งน้ำหนักตัวเองในเวลาเดียวกันของแต่ละวัน และจำไว้ว่าเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ก็สามารถเพิ่มน้ำหนักพิเศษให้กับตัวเลขน้ำหนักของคุณได้เช่นกัน ดังนั้น ควรใส่เสื้อผ้าให้น้อยชิ้นที่สุดเวลาชั่งเพื่อให้ได้น้ำหนักที่ถูกต้อง นอกจากนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่คุณจะต้องไม่เครียดให้มากเกินไปกับตัวเลขที่ได้เพราะตัวเลขนั้นไม่สามารถแยกปริมาณไขมัน น้ำและกล้ามเนื้อของคุณได้แน่นอน บางครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ก็อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากน้ำในร่างกาย การออกกำลังเพื่อเสริมกล้ามเนื้อ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มได้เพราะกล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้นนั่นเอง

10. จริงไหมที่ว่า การบริโภคมื้อดึกจะทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายกว่ามื้อในช่วงกลางวัน <<ไม่จริง>> จากการวิจัยล่าสุดพบว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเวลาที่คุณบริโภค แต่สำคัญที่ปริมาณอาหารที่บริโภคเข้าไปต่างหาก หากกลางวันคุณได้บริโภคมื้อใหญ่ ๆ เต็มที่ในมื้อเดียวไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้าหรือมื้อเย็นก็ตาม คุณก็จะมีปริมาณไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกายมากกว่าการกระจายมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ เพราะประสิทธิภาพในการเผาผลาญอาหารของร่างกายที่ผิดกันออกไปนั่นเอง

11. แคลอรี่ที่ได้จากการดื่มแอลกอฮอล์นั้น ร่างกายเราจะสามารถเผาผลาญได้เร็วกว่าแคลอรี่จากการบริโภคอาหาร <<จริง>> เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นสารพิษ ดังนั้นร่างกายจึงจะต้องเผาผลาญออกไปให้เร็วที่สุดเป็นสิ่งแรก แต่ไม่ใช่ว่าจะให้คุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเป็นขวด ๆ เพื่อจะเผาผลาญไขมัน เพราะข้อเสียของเรื่องนี้ก็คือ ขณะที่ร่างกายเราได้เผาผลาญแอลกอฮอล์ออกไปนั้น ประสิทธิภาพของการเผาผลาญไขมันก็จะต่ำที่สุดด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ร่างกายของคุณจะต้องเก็บไขมันเหล่านั้นไว้ในเนื้อเยื่อนั่นเอง

12. ระหว่างการดื่มน้ำผลไม้สดที่มีเนื้อผสมอยู่ด้วยกับน้ำผลไม้สดล้วน ๆ อะไรจะดีกว่ากัน? จำไว้ว่า หากคิดจะดื่มน้ำผลไม้ ควรเลือกน้ำผลไม้สดเสมอ เนื้อเยื่อของผลไม้ที่อยู่ในน้ำนั้นจะช่วยเติมเต็มกระเพาะของคุณได้ดีกว่าและเร็วกว่า นอกจากนี้ การได้เคี้ยวเนื้อผลไม้บ้าง ก็จะช่วยให้เราลดความหิวได้ และทำให้กระเพาะอาหารรู้สึกเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ คนส่วนมากจะรู้สึกว่าเขาได้รับแคลอรี่เพิ่มขึ้นหากใช้น้ำผลไม้เป็นตัวช่วยดับกระหาย อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำผลไม้ 5 แก้วนั้นจะทำให้เราได้แคลอรี่เกบการบริโภคผลไม้สดถึง 10 ชิ้นเลยทีเดียว!
13. จริงไหมที่เลิกบุหรี่แล้ว จะทำให้อ้วนขึ้น? <<ไม่จริงเสมอไป>> ครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ยังสามารถคงน้ำหนักไว้ได้ตามเดิมหรือมีน้ำหนักตัวลดลงจากเดิมด้วยซ้ำ การที่น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากระบบเมตาบอลิซึ่มที่ชะลอตัวลง ร่างกายไม่สามารถขจัดนิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์และสารพิษจากยาสูบที่หลงเหลืออยู่ให้ออกไปได้ทั้งหมด คุณจึงอาจตัวบวมเมื่อคุณเลิกบุหรี่ ดังนั้น ควรงดการเติมเกลือลงในอาหารและดื่มน้ำมาก ๆ เมื่อต่อมรับรสของคุณถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คุณก็จะบริโภคมากขึ้นเพื่อให้หายจากอาการปากว่างเมื่อไม่ได้สูบบุหรี่ หากจะให้ดี เลือกแครอทแท่ง เพรทเซลหรือหมากฝรั่งปลอดน้ำตาลเป็นเพื่อนในยามนั้น ก็จะทำให้รักษาน้ำหนักตัวเอาไว้ได้

14. เราควรใช้วิธีบริโภคอาหารไขมันต่ำเพื่อลดน้ำหนักหรือจะนับจำนวนแคลอรี่อาหารที่เราบริโภคเข้าไปดี? <<ก็ดีทั้งคู่นั่นแหละ>> ตราบใดที่คุณยังบริโภคอาหารไขมันต่ำอยู่ แต่คุณก็ควรจะจำเอาไว้ด้วยว่า อาหารไขมันต่ำหลายชนิดนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตาล ซึ่งก็จะสามารถเพิ่มแคลอรี่ให้คุณได้เช่นกัน ปัญหาใหญ่ของคนที่คิดจะควบคุมน้ำหนักก็คือ การลืมไปว่าอาหารที่ระบุไว้ว่า Reduced Fat หรือ Low Fat เช่น ไส้กรอก ชีส มันทอดบางชนิดนั้นยังมีปริมาณไขมันที่สูงอยู่ ดังนั้น เพื่อการลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุด ให้มุ่งความสนใจไปที่ปริมาณอาหารที่จะบริโภคเข้าไปมากกว่าเรื่องของแคลอรี่โดยรวม ทั้งนี้ให้จำไว้ว่า วัวที่กินหญ้าก็ยังอ้วนได้ทั้ง ๆ ที่หญ้านั้นไม่ได้มีไขมันสักนิด

15. มีอาหารอะไรที่จะช่วยขจัดเซลลูไลต์ได้บ้าง? <<ไม่มี>> เสียใจด้วยที่ต้องบอกอย่างนี้ ไขมันเซลลูไลต์ที่หน้าท้อง สะโพกและต้นขาของผู้หญิงนั้นสามารถจะขจัดออกไปได้ด้วยการควบคุมโภชนาการและการออกกำลังกายเท่านั้น สิ่งที่จะทำก็คือ ควรบริโภคอย่างมีเหตุผลและออกกำลังให้มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันต่างหาก


ที่มา: พันธุ์ทิพย์สุดา โปษยานนท์ คอลัมน์ Health, Her World ฉบับเดือนพฤษภาคม 2551

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น